วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
:: 20 อาหาร เพื่อสมองสดใส ::
20 อาหาร เพื่อสมองสดใส
เมื่อ เร็ว ๆ นี้เห็นมีข่าวเด็กไทย IQ ต่ำ เพราะว่าขาดไอโอดีน แต่รู้มั้ยว่านอกจากนั้นแล้ว สมองของเรายังต้องการสารอาหารอีกมากมาย เพื่อให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ
1.บลูเบอร์รี่
ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ
2.แซลมอนธรรมชาติ
กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะคะ
3.ทับทิม
คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ

คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ
4.กาแฟ
เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ
5.ถั่ว
ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ
6.ทูน่า
นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน

7.ข้าวกล้อง
ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น
8.ชาเขียว
ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า
9.เมล็ดพืช
ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม
10.ข้าวโอ๊ต
ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย
11.หอยนางรม
ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย

12.ผักใบเขียว
ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ
13.มะเขือเทศ
แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ
14.น้ำมันมะกอก
อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี
15.น้ำสะอาด
เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว
16.ผงกะหรี่
เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ

17.ไข่
มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้
เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ
5.ถั่ว
ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ
6.ทูน่า
นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน
7.ข้าวกล้อง
ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น
8.ชาเขียว
ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า
9.เมล็ดพืช
ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม
10.ข้าวโอ๊ต
ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย
11.หอยนางรม
ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย
12.ผักใบเขียว
ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ
13.มะเขือเทศ
แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ
14.น้ำมันมะกอก
อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี
15.น้ำสะอาด
เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว
16.ผงกะหรี่
เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ
17.ไข่
มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้
18.โยเกิร์ต
เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว
19.ช็อกโกแลต
ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)
20.กระเทียม
ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย
Did You Know?
แม้ว่าสมองจะหนักแค่ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ก็ใช้สารอาหารและออกซิเจนถึง 20% ของทั้งหมดในร่างกาย
การมองอนาคตในแง่ดีก็จะช่วยสมองได้ เนื่องจากเป็นการขับไล่ความเครียดและความวิตกกังวลในแง่หนึ่ง
สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย การออกกำลังจึงช่วยทำให้สมองแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน
credir : http://health.kapook.com/view18712.html
เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว
19.ช็อกโกแลต
ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)
ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย
แม้ว่าสมองจะหนักแค่ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ก็ใช้สารอาหารและออกซิเจนถึง 20% ของทั้งหมดในร่างกาย
การมองอนาคตในแง่ดีก็จะช่วยสมองได้ เนื่องจากเป็นการขับไล่ความเครียดและความวิตกกังวลในแง่หนึ่ง
สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย การออกกำลังจึงช่วยทำให้สมองแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน
credir : http://health.kapook.com/view18712.html
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
:: 10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร ::
1. งดมื้อเช้า ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกซะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2. งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย ไม่ควร เพราะร่างกายต้องการพลังงาน เพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปัง
3. หลังออกกําลังกาย ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้ว และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อน เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น
4. กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์ สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ
5. เชื่อมั่นในฉลาก อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6. กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอ กับที่ร่างกายต้องการ สําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมว่ากินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่
7. ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้
8. ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยโดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วย
9. ไดเอ็ทแบบอดๆ แน่นอนว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า
10. กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1408689
2. งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย ไม่ควร เพราะร่างกายต้องการพลังงาน เพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปัง
3. หลังออกกําลังกาย ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้ว และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อน เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น
4. กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์ สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ
5. เชื่อมั่นในฉลาก อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6. กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอ กับที่ร่างกายต้องการ สําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมว่ากินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่
7. ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้
8. ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยโดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วย
9. ไดเอ็ทแบบอดๆ แน่นอนว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า
10. กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1408689
17 ประโยชน์ของกล้วย ;))
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วย ในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบ ที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอม ให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้น เลือดฝอย แตก
3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ด้วย การรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมี การตื่นตัวในการเรียนมาก ขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลาย คนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไป ในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้คือทำให้ เรารู้สึกมีความสุข เพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุ ดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะ ทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการ เสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาล ใน เส้นเลือดให้คงที่เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบ อย่าง มหัศจรรย์ เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้โรคน้ำหนักเกินและ โรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุ นำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆในจำนวนคนไข้5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆนักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความ กดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึง ต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคารโบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่ง ประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง โรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้
อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ัรับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้
เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุรี่กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามิน
ซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว
อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกิน
กล้วยเป็นประจำสามารถล ดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบน หูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูด ให้หายได้
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบ ที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอม ให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้น เลือดฝอย แตก
3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ด้วย การรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมี การตื่นตัวในการเรียนมาก ขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลาย คนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไป ในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้คือทำให้ เรารู้สึกมีความสุข เพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุ ดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะ ทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการ เสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาล ใน เส้นเลือดให้คงที่เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบ อย่าง มหัศจรรย์ เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้โรคน้ำหนักเกินและ โรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุ นำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆในจำนวนคนไข้5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆนักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความ กดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึง ต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคารโบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่ง ประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง โรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้
อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ัรับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้
เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุรี่กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามิน
ซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว
อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกิน
กล้วยเป็นประจำสามารถล ดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบน หูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูด ให้หายได้
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
[How To] เย็บน้องหมี ^^"
**อุปกรณ์**
1. ผ้าอย่างน้อยต้องมี 2 สี เอาไว้เย็บส่วนตัวหลักๆ กับเย็บเป็นฝ่ามือ กับฝ่าเท้า อยากได้น้องหมีตัวสีอะไรก็เลือกสีผ้ามาเลย ตรงนี้เอาเป็นผ้าอะไรก็ได้ แต่อย่าเอาผ้าเนื้อหนามาเพราะจะเย็บยาก ^^
2.เข็ม มี 2 ขนาด ขนาดปกติที่เราใช้เย็บทั่วๆไป ใช้เบอร์ 8 กับ เข็มที่มีความยาวหน่อย ใช้เบอร์ 2 3/4" เพราะเราต้องใช้เย็บติดแขนขา ซึ่งถ้าเข็มไม่ยาวนี่จะเย็บลำบากทีเดียว
3.ด้ายที่เข้ากับสีผ้าที่ใช้เย็บน้องหมี
4.เส้นไหมสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม เอาไว้เย็บปากหมี (ที่เค้าใช้ปักครอสติชอ่ะจ้ะ)
5.กระดุม 4 อัน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.3 ซม. ใหญ่มากไม่สวยเพราะน้องหมีเราตัวไม่ใหญ่ (ซื้อที่สำเพ็งมีเยอะเลยห่อละ 10 บาท)
6.ลูกปัดสีดำที่ใช้เย็บเป็นลูกตา 2 เม็ด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.5 ซม.
7 ดินสอเขียนผ้า ชอล์กเขียนผ้า ดินสอ เมจิกเขียนผ้า เอามาใช้วาดแบบลงผ้า
8.กรรไกรตัดผ้า
9.ใยสังเคราะห์
10.เข็มหมุด
11.โบว์ หรืออุปกรณ์ที่อยากนำมาตกแต่งตัวหมี เช่น ลูกปัด ดอกไม้ปลอม ลูกไม้ ฯลฯ
**ตัดผ้าตามแพทเทิร์น**
1. ตัดแบบแพทเทิร์น และวาดแบบที่ตัดเรียบร้อยแล้วทาบบนด้านในของผ้า กรณีที่เป็นผ้าขนสัตว์วางแบบให้ทิศทางของขนสัตว์บนผ้าอยู่ในแนวเดียวกับลูก ศรบนแพทเทิร์น ใช้ดินสอเขียนผ้าวาดแบบบนผ้าให้เท่ากับขนาดแบบจริง
2. ตัดผ้าตามแนวผ้าที่วาดไว้ โดยให้มีขนาดใหญ่กว่าแบบประมาณ 0.5 ซ.ม. โดยรอบ แล้วทำเครื่องหมายตรงส่วนที่เว้นไว้ใส่ใยสังเคราะห์
วิธีทำ
1. เตรียมผ้าก่อนเย็บ ...
จับคู่ชิ้นส่วน ต่างๆ โดยการนำผ้าที่ตัดตามแพทเทิร์นมาวางประกบกัน (ให้ด้านที่ไม่มีการวาดแบบหันเข้าหากัน) ตรึงผ้าด้วยเข็มหมุด หรือใช้วิธีการเนาผ้าก็ได้...เกตุยกรูปตัวอย่างส่วนแขนด้านในให้ดู......ตรง นี้จะทำให้เวลาเราเย็บผ้าไม่เคลื่อนไปมา เย็บได้ง่ายขึ้น...
จับคู่ชิ้นส่วน ต่างๆ โดยการนำผ้าที่ตัดตามแพทเทิร์นมาวางประกบกัน (ให้ด้านที่ไม่มีการวาดแบบหันเข้าหากัน) ตรึงผ้าด้วยเข็มหมุด หรือใช้วิธีการเนาผ้าก็ได้...เกตุยกรูปตัวอย่างส่วนแขนด้านในให้ดู......ตรง นี้จะทำให้เวลาเราเย็บผ้าไม่เคลื่อนไปมา เย็บได้ง่ายขึ้น...
2. เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ...
เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ให้ติดกันด้วยวิธีการเย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) โดยเว้นบางส่วนไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลืองจะถูกเว้นไว้) ตรงนี้ตุ๊กตาแต่ละแบบจะถูกเว้นส่วนนี้ไม่เหมือนกัน ยังไงลองดูที่แพทเทิร์นนะ
2.1 ส่วนลำตัว ... เย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) เว้นตรงช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
2.2 ส่วนหู ... เย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) เว้นตรงช่องตรงส่วนของฐานหู (ส่วนสีเหลือง)
2.3 ส่วนแขน ... นำชิ้นส่วนแขนด้านใน และฝ่ามือมาเย็บติดกันก่อน โดยเย็บจาก A ไป B (ส่วนสีฟ้า) ทำทั้ง 2 ชิ้น
จากนั้นนำชิ้นส่วนที่เย็บเสร็จเมื่อครู่มาประกบกับส่วนแขนด้านนอก แล้วเย็บโดยรอบ เว้นตรงช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
2.4 ส่วนขา ... พับผ้าตามแนวตั้ง แล้วเย็บจาก C ไป D และ E ไป F (ส่วนสีฟ้า) และเว้นช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
จากนั้นนำฝ่าเท้ามาเย็บติดกับขาจาก F ไป G และกลับมาที่ F เป็นลักษณะวงรีโดยรอบ (ส่วนสีฟ้า)
**ส่วนนี้แนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด
จากนั้นนำฝ่าเท้ามาเย็บติดกับขาจาก F ไป G และกลับมาที่ F เป็นลักษณะวงรีโดยรอบ (ส่วนสีฟ้า)
**ส่วนนี้แนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด
2.5 ส่วนหัว... ประกบส่วนหัวด้านข้างเข้าด้วยกัน แล้วเย็บจาก A ไป B (ส่วนสีฟ้า) จากนั้นนำส่วนต่อของจมูกมาประกบกับส่วนหัวด้านข้างที่เย็บติดกันเรียบร้อย แล้ว ซึ่งส่วนต่อของจมูกจะอยู่ด้านบน โดยทาบจากจุดกึ่งกลางของจมูกตรงส่วนต่อของจมูกให้ตรงกับรอยตะเข็บที่เป็น ส่วนจมูกของส่วนหัว เย็บจากจุด A ไป C และ D โดยเย็บทั้ง 2 ข้าง และเว้นช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
**ส่วนนี้ต่อของจมูกแนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด
**ส่วนนี้ต่อของจมูกแนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด
3. กลับผ้า...
นำชิ้นส่วนที่เย็บเสร็จทั้งหมด กลับเอาผ้าด้านนอกออก
4. ใส่ใยสังเคราะห์ และเย็บปิด...
4.1 ส่วนแขน ขา ลำตัว ... ใส่ใยสังเคราะห์ตรงส่วนที่เว้นช่องไว้ แล้วเย็บปิดด้วยเทคนิคการเย็บแบบขั้นบันได
4.2 ส่วนหู ... เย็บปิดด้วยเทคนิคขั้นบันได...ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าจะใส่หรือไม่ใส่ใยสังเคราะห์ก็ได้
4.3 ส่วนหัว ... ใส่ใยสังเคราะห์ลงไปจนเต็ม เย็บปิดด้วยวิธีการเนาโดยรอบส่วนฐานของหัว (ร้อยด้ายเส้นคู่) จากนั้นดึงด้ายตรงจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้ายเข้าหากันเพื่อรูดเก็บ แล้วผูกปลายด้ายทั้ง 2 เข้าด้วยกัน (ผูกปม 2 ครั้ง)
5. เย็บประกอบตุ๊กตา...
5.1 เย็บติดลูกตา ... ใช้เข็มหมุดปักกำหนดตำแหน่งของลูกตาไว้ก่อน จากนั้นแทงเข็มจากคอไปยังบริเวณตาของตุ๊กตา แทงเข็มทะลุลูกปัดสีดำ และแทงเข็มกลับไปยังบริเวณคออีกครั้งเพื่อให้ลูกตาถูกกดลึกลงไป ทำซ้ำประมาณ 3 รอบ เพื่อยึดตาให้แน่น ทำทั้ง 2 ข้าง (ร้อยด้ายเส้นคู่เพื่อความแข็งแรง)
5.1 เย็บติดลูกตา ... ใช้เข็มหมุดปักกำหนดตำแหน่งของลูกตาไว้ก่อน จากนั้นแทงเข็มจากคอไปยังบริเวณตาของตุ๊กตา แทงเข็มทะลุลูกปัดสีดำ และแทงเข็มกลับไปยังบริเวณคออีกครั้งเพื่อให้ลูกตาถูกกดลึกลงไป ทำซ้ำประมาณ 3 รอบ เพื่อยึดตาให้แน่น ทำทั้ง 2 ข้าง (ร้อยด้ายเส้นคู่เพื่อความแข็งแรง)
5.2 เย็บติดหู ... ใช้เข็มหมุดปักตรึงส่วนหูกับหัวตุ๊กตาก่อนกันเคลื่อน แล้วเย็บติดด้วยการเย็บแบบขั้นบันได จากด้านหน้าอ้อมไปด้านหลังจนมาบรรจบกัน
5.3 เย็บจมูกและปาก ... กำหนดตำแหน่งของจมูก (ใช้เส้นไหมในการเย็บ กรณีเป็นด้ายให้ร้อยด้ายประมาณ 4 เส้น) โดยเย็บเป็นโครงลักษณะสามเหลี่ยม จากนั้นเย็บเป็นเส้นแนวตั้ง จนปิดไม่เห็นเนื้อผ้า
แล้วเย็บเป็นเส้นแนวตั้งจากส่วนปลายจมูกลงมา แล้วเย็บปากซึ่งตรงนี้เราสามารถเย็บได้หลายแบบ เพื่อบ่งบอกอารมณ์ของตุ๊กตาหมี
5.4 ต่อส่วนหัวกับลำตัว ... ใช้เข็มหมุดตรึงส่วนหัวกับลำตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นเย็บติดด้วยเทคนิคการเย็บแบบขั้นบันไดโดยรอบ จนหัวติดกับลำตัวแน่น
5.5 การต่อส่วนแขน และขา ... ใช้เข็มเล่มยาว ร้อยด้ายเส้นคู่แทงผ่านส่วนลำตัว แขน และกระดุมบนแขนด้านหนึ่ง จากนั้นแทงกลับลงไปผ่านแขน และลำตัว และแขนอีกข้างหนึ่ง แทงผ่านกระดุม และแทงกลับมา ทำซ้ำประมาณ 3-4 รอบ มัดปมให้แน่น
ส่วนขาก็ทำเหมือนกัน ... ดูรูปลายเส้นน้องหมีทางขวามือประกอบจะเข้าใจง่ายขึ้น
ส่วนขาก็ทำเหมือนกัน ... ดูรูปลายเส้นน้องหมีทางขวามือประกอบจะเข้าใจง่ายขึ้น
ส่วนขา...เท่านี้เป็นอันเสร็จล่ะ
credit : http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2006/10/J4769680/J4769680.html
สุโค่ยมาก ทำไม่เป็น+แอบงง แต่จะลองดู >___<
วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
10 อันดับยาสีฟันแปลก ;)
อันดับที่ 10 ยาสีฟันไอศครีม
ยา สีฟันนี้จะทำให้คุณมีลมหายใจเป็นกลิ่มไอศกรีมเสมือนคุณกินไอติมอยู่ตลอด เวลา คิดค้นโดยทันตแพทย์ชื่อ Janelle Holden ซึ่งออกแบบมาเพื่อเด็กๆโดยเฉพาะ ตอนนี้ออกมาให้ลองกันแล้ว 3 รสชาติ Banilla Bling, Ch Cha Chocolate และ Blingsicle รสชาติจะเหมือนไอติมรสส้มกับวานิลา
เดา กันได้ไม่ยากว่ายาสีฟันอันนี้ทำมาจากถ่าน โดยดึงเอาคุณสมบัติเด่นของถ่านซึ่งดีในเรื่องดูดกลิ่นและทำความสะอาดพื้นผิว แต่อย่าลืมแปลงลิ้นหลังแปรงฟันด้วยหละไม่งั้นลิ้นดำแน่ๆ!
อันดับที่ 8 ยาสีฟันรสแชมเปญ
ยาสีฟันสำหรับคนขี้เมานี้ราคาหลอดละ 300 บาท หาซื้อได้ไม่ง่ายแต่ถ้าอยากมากคงหากันได้ไม่ยาก อิอิอันดับที่ 7 Email diamante rougue tootpaste จากฝรั่งเศส
แปลก ขึ้นเรื่อยๆกับอันดับ 7 มาไกลจากฝรั่งเศสซึ่งวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1893 ซึ่งคุณสมบัติเด่นของมันคือทำให้ฟันขาวขึ้นทันที!!! สีของยาสีฟันแดงเหมือนเลือดนก รสชาติก็เข้มข้นไปด้วยสมุนไพรต่างๆ มันสามารถทำให้ฟันขาวทันทีหลังแปรงเพราะส่วนประกอบหนึ่งในยาสีฟันนี้ เมื่อเกาะอยู่ที่ฟันจะทำให้มันเกิดเป็นประกายจึงทำให้ฟันดูขาวขึ้นทันที แต่ส่วนอื่นในปากคุณจะแดงหมดรวมไปถึงแปรงสีฟันของคุณด้วย ตอนคุณบ้วนปากเหมือนเพิ่งโดนใครเตะปากจนเลือดกรกยังไงยังงั้นเลย อิอิ
อันดับที่ 6 ยาสีฟันดำตราลิง
ลอง หลับตาแล้วนึกถึง ถ่านดำๆนะ แล้วเอามันมาบดจนเป็นผง หยุดตรงนี้ก่อนแล้วตอนนี้ให้นึกถึง Vicks vapor rub หรือยาหม่องก็ได้ แล้วเอาทั้ง 2 อย่างมาผสมกันในปาก!... คิดแล้วมันเหมือนจะไม่เข้ากันแต่ยาสีฟันนี้ทำหน้าที่มันได้อย่างดีเยี่ยม มากๆ ความรู้สึกจะเหมือนแปรงฟันด้วยกระดาษทรายเลย ข้อ เสียคือ อ่างล้างหน้าคุณจะมีคราบสีดำติดซึ่งล้างออกยากมากๆ ข้อแนะนำคือ ทำความสะอาดพื้นที่ที่โดนยาสีฟันนี้ทันที อย่าทิ้งไว้จนมันแห้งหละ!คุณ เคยมั้ยที่ต้องใช้ยาสีฟันร่วมกับคนอื่นๆในบ้านแล้วชอบบีบกลางหลอด!!! พอคุณมาแปรงต่อก็ต้องคอยบีบๆๆให้มามารวมกลุ่มกัน.... หมดปัญหาไปได้เลยถ้าคุณมีหลอดนี้เพราะบีบยังไงสุดท้ายก็จะใช้หมดหลอดได้ อย่างประหยัดจริงๆ
อันดับที่ 4 ยาสีฟันรสวิสสกี้
อีกหนึ่งยาสีฟันสำหรับคนขี้เมาที่ไม่อยากจะทิ้งรสชาติปาร์ตี้ของเมื่อคืน เมากันได้ทั้งวันไปเลย!
อันดับที่ 3 ยาสีฟันรสเบคอน
แปลก อีกขั้นกับยาสีฟันรสเบคอน!... คนที่ลดความอ้วนอยู่น่าจะชอบเพราะตอนนี้คุณสามารถมีเบคอนในปากได้ตลอดเวลา ลองคิดดูว่าจะประหยัดไปได้มากขนาดไหนถ้าไป Burger King สั่ง Whooper ไม่เอาเบคอนแล้วใส่ยาสีฟันนี่ไปแทน อร่อยและไม่อ้วน!
อันดับที่ 2 ใกล้ชิดรสช็อคโกแลต
ปี 2005 ยูนิรีเวอร์ตัดสินใจวางขายยาสีฟันนี้ที่ ฟิลิปปินส์ โดยที่ออกมาเป็น limited edition ดูๆไปก็ไม่แปลกอะไรกับยาสีฟันรสช็อคโกแลต แต่จากการวิจัยของ Arman Sadeghpour จากมหาวิทยาลัยตูเลน เค้าพบว่าผงโกโก้ช่วยปกป้องฟันได้และยังดีกว่าฟลูโอไลด์ซะอีก!! .... ใครมีคนรู้จักเป็นหมอฟันฝากถามหน่อยว่าจริงรึเปล่า!?ดอก บัวคู่ (ฝรั่งเรียกว่า Nastiest Toothpaste "ยาสีฟันที่น่าขยะแขยงที่สุด") ถึงฝรั่งจะว่ายังไงก็ตาม แต่ผมใช้ครับผมว่าสมุนไพรไทย ดีที่สุดครับ ใช้แล้วสดชื่นมากๆ
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1974691
:: มื้อเช้า 7 แบบ 7 ประเทศ ::
อาหาร มื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพื่อช่วยให้สมองและร่างกายมีพลังงานแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ไปช่วยบำรุงร่างกายที่ดำเนินชีวิตทำกิจกรรมในแต่ละวัน อาหารเช้าของคนไทยส่วนมากจะทานข้าวเป็นหลัก หรือถ้าทานไม่ทันก็จะทานขนมปัง แซนวิช หรือนมเป็นต้น แต่บางประเทศในทุกๆวัน มื้อเช้าจะต้องเป็นเมนูนี้เป็นหลัก มาดูกันว่าเมนูที่เป็นมื้อเช้าของประเทศนั้นๆ คืออะไร น่าทานแค่ไหน ^^
ฝรั่งเศส : อาหารเช้าในฝรั่งเศสจะมีกาแฟ อย่าแปลกใจหากคุณทานอาหารในปารีสและพบว่ากาแฟของคุณอยู่ในชามแทนที่จะเป็น แก้ว เพื่อที่ได้ง่ายต่อการนำขนมปังช็อคโกแลตหรือครัวซองท์จิ้มลงไปถือเป็นการทาน แบบดั้งเดิมสำหรับวันหยุด หากเป็นในช่วงกลางอาทิตย์ก็จะเป็นขนมปังกับแยม น้ำผึ้งหรือเนย ลองเริ่มต้นวันใหม่แบบฝรั่งเศสดูซิ
เม็กซิโก : สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)
จาไมกา : ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน
เวลส์ : เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้
ญี่ปุ่น : ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว
เนเธอแลนด์ : ขนมปังธัญพืชและขนมปังกรอบที่เรียกว่า beschui เป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับตัวอย่างอาหารเช้าของชาวดัตช์สำหรับเวลาเร่งรีบ คนในฮอลแลนด์จะเตรียมเนื้อสไลด์ ชีสก้อนใหญ่ กาแฟเข้มๆ และของที่ใช้ทาหรือราดตั้งแต่ Nutella (ครีมถั่วฮาเซลนัทผสมโกโก้) ไปจนถึงน้ำผึ้ง ถ้าต้องการอะไรที่เป็นแบบฉบับบจริงๆ มองหาขวดที่มีชื่อว่า hagelslag เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช็อคโกแลตที่ใช้โรยหน้า (เหมือนที่โรยในไอศกรีมในอเมริกาแต่นุ่มนวลและให้รสมากกว่า) ที่ละเลงลงบน beschuit เป็นองค์ประกอบที่ให้ความหวานกับชาหรือกาแฟ Hagelslag จะใส่ลงในนมช็อคโกแลตหรือดาร์คช็อคโกแลต

จีน : อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จนถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1977541#ixzz154YYRQVm
ฝรั่งเศส : อาหารเช้าในฝรั่งเศสจะมีกาแฟ อย่าแปลกใจหากคุณทานอาหารในปารีสและพบว่ากาแฟของคุณอยู่ในชามแทนที่จะเป็น แก้ว เพื่อที่ได้ง่ายต่อการนำขนมปังช็อคโกแลตหรือครัวซองท์จิ้มลงไปถือเป็นการทาน แบบดั้งเดิมสำหรับวันหยุด หากเป็นในช่วงกลางอาทิตย์ก็จะเป็นขนมปังกับแยม น้ำผึ้งหรือเนย ลองเริ่มต้นวันใหม่แบบฝรั่งเศสดูซิ
เม็กซิโก : สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)
จาไมกา : ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน
เวลส์ : เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้
ญี่ปุ่น : ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว
เนเธอแลนด์ : ขนมปังธัญพืชและขนมปังกรอบที่เรียกว่า beschui เป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับตัวอย่างอาหารเช้าของชาวดัตช์สำหรับเวลาเร่งรีบ คนในฮอลแลนด์จะเตรียมเนื้อสไลด์ ชีสก้อนใหญ่ กาแฟเข้มๆ และของที่ใช้ทาหรือราดตั้งแต่ Nutella (ครีมถั่วฮาเซลนัทผสมโกโก้) ไปจนถึงน้ำผึ้ง ถ้าต้องการอะไรที่เป็นแบบฉบับบจริงๆ มองหาขวดที่มีชื่อว่า hagelslag เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช็อคโกแลตที่ใช้โรยหน้า (เหมือนที่โรยในไอศกรีมในอเมริกาแต่นุ่มนวลและให้รสมากกว่า) ที่ละเลงลงบน beschuit เป็นองค์ประกอบที่ให้ความหวานกับชาหรือกาแฟ Hagelslag จะใส่ลงในนมช็อคโกแลตหรือดาร์คช็อคโกแลต
จีน : อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จนถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1977541#ixzz154YYRQVm
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ลับสุดยอด - Tattoo Colour
-- เนื้อเพลง --
ไม่มีใครรู้หรอก นานเหลือเกินไม่รู้คำตอบ
จริงไม่จริงแบบไหนใครบอก
ไม่มีคำตอบว่าความลับ คืออะไร
กำแพงของจิ๋นซี ปีรามิดหรือทัชมาฮาล
โรม นครวิหารเมืองเก่า
เขาสร้างทุกอย่างยังไง
*ค้นตำรามากมาย สนใจ ติดตามศึกษากันไป
รถทัวร์ รถไฟ เครืองบินบินได้ยังไง
ความลับมากมาย สุดท้ายเราก็เข้าใจ
บอกได้ทุกอย่าง
**แต่ความลับในใจ
ค้นและหาเท่าไรไม่พบคำตอบ
ฉันไม่รู้ว่าเธอจะรักจะหลอก
บอกสักครั้งว่าเธอนั้นคิดยังไง
***ต่อให้ค้นลงไป รู้บ้างไหมอะไรที่รอฉันอยู่
ภายในใจไม่อาจจะค้นมาดู
หนึ่งความลับที่โลกไม่รู้ ที่เธอเก็บไว้
ไม่มีใครรู้หรอก ดาวสักดวงบนฟ้าพร่างพราย
มีผู้คนอาศัยหรือไม่ ไม่นานเท่าไหร่ก็คงรู้
(*,**,***)
(*,**,***)
ปล. คอสตูมแต่ละคนน่ารักไปมั้ย 5555
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คนนี้ - scrubb
--เนื้อเพลง--
ลองพบกันก่อน สายเกินไป หากคิดว่าเขานั้นใช่
อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ
หากเฉยอยู่แล้วใครจะรู้อะไร ว่าจะเจอกันง่ายๆ
ที่ตามหามานานสักวันอาจผ่านไป
* หรือเธอจะเป็นคนเดียวคนที่เฝ้ารอ บางสิ่งที่หาย
** อาจจะเป็นคนนี้ เธอหยุดลงตรงนี้ มาเติมวันดีๆ ต่อจากนี้ไป
อาจจะเป็นคนนี้ ถ้าหากเป็นคนนี้ โลกที่เคยว่างเปล่า มันไม่เหมือนเดิม
(ถ้าเธออยากจะรู้)
ฉันอยากให้เธอบอก บอกฉันก่อน จะสายเกินไป
หากคิดว่าฉันนั้นใช่ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ
( * , ** )
ใครเพียงสักคนที่จะรัก ใครเพียงสักคนที่เธอฝัน ใครเพียงหนึ่งคนที่เธอนั่นหามานาน
( ** )
ไม่เคยไม่รักเธอ - Better Weather
-- เนื้อเพลง --
เห็นแววตาของฉันใช่ไหม
รู้ไหมแววตานั้นโกหกใครไม่เป็น
ฉันแค่อยากให้เธอได้เห็น
ก่อนจะเล่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง
ว่าฉัน ก็เป็นแค่หนึ่งคน
รักแล้วก็มีแกว่ง มีขึ้นลงสลับไป
บางครั้ง อาจแกว่งจนต้องพลาดไป
แต่ฉันก็ยืนยันได้ซ้ำๆ ทุกๆ วันว่า
*ที่ไหน เมื่อไร แค่ไหน เท่าไรก็ยังเลือกเธอ
สุดท้ายยังไง จะพลั้งพลาดไปก็ยังรักแค่เธอ
ให้รู้ว่าไว้เลยว่าฉันไม่เคยจะไม่รักเธอ
ฉันรู้ตัวจริงๆ ว่าไม่มีใครดีไปกว่านี้
ฉันจะไม่แก้ตัวมากมาย
เพราะฉันเองเจ็บปวดที่ทำเช่นกัน
รู้แล้วว่าผู้คนผู้นั้น มันเทียบไม่ได้กับเธอ
อย่างไรจากนี้ หากขอได้อีกครั้ง
จะขอแค่โอกาส พิสูจน์ภาพที่ฉันบอกไป
ว่าเธอ สำคัญเกินกว่าผู้ใด
จะย้ำการกระทำ และบอกซ้ำทุกๆ วันว่า
*
ฉันรู้ตัวดีว่าตอนนี้ อาจสายเกินไปแล้ว
ขอ ฉันขอแค่เวลาอีกสักครั้ง
จะเป็นไปได้บ้างไหม
*
ที่ไหน เมื่อไร แค่ไหน เท่าไรก็ยังเลือกเธอ
สุดท้ายยังไง จะพลั้งพลาดไปก็ยังรักแค่เธอ
ให้รู้ว่าไว้เลยว่าฉันไม่เคยจะไม่รักเธอ
ฉันรู้ตัวจริงๆ ว่าไม่มีใครดีไปกว่าเธอ
ให้รู้ว่าไว้เลยว่าฉันไม่เคยจะไม่รักเธอ
ที่ไหน เมื่อไร แค่ไหน เท่าไรก็ยังเลือกเธอ
สุดท้ายยังไง ก็ยังรักแค่เธอ
ให้รู้ว่าไว้เลยว่าฉันไม่เคยจะไม่รักเธอ
ฉันรู้ตัวจริงๆ ว่าไม่มีใครดีไปกว่าเธอ
♥♥♥
[เรื่องสั้น] เรื่องดีๆ ที่อยากให้คนใจร้อนอ่านไว้นะ
บางครั้งการกระทำที่ออกมาเหมือนกัน แต่เกิดจากความคิดและเหตุผลที่แตกต่างกัน
นี่ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการมองลบ ที่ลืมพยายามที่จะเข้าใจ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่รู้ตัวเองเคยเป็นมั้ย
นี่ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการมองลบ ที่ลืมพยายามที่จะเข้าใจ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่รู้ตัวเองเคยเป็นมั้ย
จะบีบแตรไล่ทำไมนักหนาวะ กับอีแค่ผมจอดทับเส้นกากบาทเหลือง จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ไม่นึกว่ารถข้างหน้าจะขยับไปได้แค่นั้น คุณก็รีบ ผมก็รีบ ใครๆ ก็รีบกันทั้งนั้น เอ้า เอาเข้าไป บีบเข้าไป มันยังบีบแตรอีกนับสิบครั้ง
ผมหันไปมอง ช่างเถอะ! มันก็แค่แท็กซี่คันหนึ่ง ท่าทางคนขับคงจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตอนหลังก็ดูจะโวยวายโหวกเหวกไม่แพ้กัน จะรีบไปไหนนักหนาวะ แต่โดนเข้าไปหลายครั้งก็อายเหมือนกันแฮะ
เสียง แตรที่ดังสนั่นทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว แล้วจะให้ทำไงล่ะ ผมมองซ้ายมองขวา รถติดออกอย่างนี้จะถอยหลังก็ไม่ได้ รถคันหลังก็จ่อมาซะติด จะขยับไปข้างหน้าก็อย่าหวัง ช่างมันเถอะ ทนอายเอาหน่อย
พอเถอะวะ จะบีบไปทำไม ออกจากซอยได้ก็ต้องมาติดไฟแดงด้วยกันอยู่ดี
ทั้ง คนขับและผู้โดยสารชี้โบ้ชี้เบ้มาที่ผม จะว่าอะไรผมก็ไม่เข้าใจหรอก ตาของผมกับตาของคนขับแท็กซี่ประสานกันเข้าอย่างจัง ทำไงดีล่ะ เห็นทีงานนี้ต้องกวนตีนกันแล้ว
ผมยกนิ้วกลางให้พร้อมกับเหยียบคัน เร่งกระชากรถออกจากสี่แยก ขยับไปได้นิดเดียว แท็กซี่คันนั้นก็ปาดแทรกรถคันที่ตามหลังผมทันที เอาวะ งานนี้เป็นไงเป็นกัน ผมคิด แท็กซี่คันนั้นยังบีบแตรและเปิดไฟสูงต่ำไล่ผมมาตลอด มันแน่งานนี้ ถนนช่วงนี้ถึงแม้การจราจรจะค่อนข้างคับคั่ง แต่จริงก็ไม่เหลือวิสัยหากผมจะหลีกทางให้มันแซงขึ้นไปข้างหน้า แต่ถ้าลองเล่นกันถึงขั้นนี้แล้ว ก็เห็นที่จะต้องตามกวนตีนกันไปให้ถึงที่สุด
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ดีว่าผมขับรถเร็วขนาดไหน รู้แต่ว่าผมทำทุกวิถีทางที่ไม่ให้มันแซงหน้าไปได้ ถ้าเผลอปล่อยให้แซงหน้าได้เมื่อไหร่ ผมจะเร่งแซงกลับไปดักหน้าไว้ทุกครั้ง ต้องให้บทเรียนคนพวกนี้บ้าง ผมเบื่อเต็มทนกับพวกแท็กซี่ที่จอดรับส่งผู้โดยสารไม่เลือกที่ คิดอยากจะจอดตรงไหนก็จอด ที่รถรามันติดกันยาวเหยียดอยู่ทุกวันนี้ ก็พวกนี้แหละเป็นส่วนหนึ่ง ต้องเล่นซะบ้างจะได้เข็ด
แท็กซี่คัน นั้นยังใช้ความเร็วอยู่เหมือนเดิม แซงซ้ายแซงขวาปาดหน้าปาดหลังเค้าไปทั่ว ผมหลับตานึกถึงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในนั้น ป่านนี้คงหายใจไม่ทั่วท้องแน่ๆ ทำไมถึงได้รีบขนาดนี้วะ ผมเหยียบคันเร่งจนมิดแซงรถคันโน้นคันนี้แล้วก็ไปปาดหน้ามันอีกครั้ง แล้วก็ชลอความเร็วกันท่าไม่ให้มันแซงผม ก็ได้ผล มันทั้งบีบแตรทั้งเปิดไฟไล่ใส่ผม ช่าง บีบแตรไล่กูนัก กูจะกันท่า ไปตลอดอย่างนี้แหละ อีกแค่สองแยกก็จะถึงที่หมายของผมแล้ว
วันนี้ ผมลางานครึ่งวันเพื่อมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก เวลาของผมยังมีเหลือเฟือ กวนตีนกันอีกซักพักเวลาก็ยังเหลือแหล่ การตรวจร่างกายสมัยนี้ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรนักหนา เถลไถลไปโน่นไปนี่ก็ยังกลับไปทำงานช่วงบ่ายได้ทัน
รถติดไฟแดงอีก แล้ว ท่าทางจะติดยาวเสียด้วย แท็กซี่ที่ตามหลังผมมาติดๆ ปาดเข้าเลนซ้าย ก่อนจะแซงหน้าผมไป คนขับหันมามองผมแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนกับรำคาญผมเต็มประดา ผมหักพวงมาลัยตาม จากนั้นรถก็ค่อยๆ เขยิบทีละนิดไปตามจังหวะสัญญาณไฟ มันพยายามแทรกรถคันอื่นๆ เพื่อที่จะไปอยู่แถวหน้าสุด ผมปาดรถเข้าช่องว่างตามไป จังหวะนั้นเลนขวาว่าง ผมเหยียบคันเร่งปาดเข้าขวาแล้วปาดเข้าซ้ายตัดหน้ารถแท็กซี่ไปนิดเดียว เสียงเบรกของมันดังสนั่น แต่นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว งานนี้มันต้องทำให้รู้สึกกันบ้าง เหลืออีกนิดเดียวผมก็จะถึงที่หมายแล้ว หลังจากนั้นเอ็งจะไปไหนก็ไปเหอะ
หลุดจากไฟแดง รถของเราทั้งสองคันก็ปราดออกจากสี่แยกพร้อมๆ กัน ยังไงซะผมก็ไม่ยอมให้มันขึ้นหน้าหรอก เสียงแตรของแท็กซี่ดังไล่หลังมาไม่ขาดระยะ ถึงซะที คราวนี้ จะไปไหนก็ไปเถอะ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล รับบัตรจอดรถจากยามแล้วแล่นเข้าสู่ลานจอด มันยังตามมาติดๆ ยังไม่เลิกเหรอวะ ผมคิด เอาก็เอา ที่ล็อคเกียร์วางอยู่บนเบาะหลัง ผิดนักก็คงได้ฟาดกันมั่งหรอก
ผมขับรถเข้าที่จอด เปิดและปิดประตูรถอย่างแรงเหมือนไม่กลัวว่ามันจะพัง แท็กซี่ที่ตามมาก็จอดพร้อมๆกันกับผม ประตูแท็กซี่ทั้งสี่ด้านเปิดผลัวะออก มาทั้งๆ ที่รถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ ในทันใดนั้น ผมได้แต่ยืนตะลึง แขนซึ่งถือที่ล็อกเกียร เตรียมจะประจันบานตกลงมาข้างตัวเหมือนจะหมดแรง ไม่น่าเชื่อ
ทุกสิ่งทุกอย่างในรถคันนั้นเต็มไปด้วยเลือด ทั้งบนเบาะ ที่บานประตูด้านใน ไม่เว้นกระทั่งบนเสื้อของคนขับแท็กซี่ ผู้ชายสูง อายุแต่งตัวมอมแมมคนนึงถูกอุ้มอย่างทุลักทุเลลงมาจากรถ เลือดเปรอะอยู่ทั้งบนลำตัวและใบหน้าของเขาและบนเนื้อตัวของหญิงสาวทั้งสอง คนที่คอยประคองอยู่ เธอทั้งคู่ร้องไห้เสียงดัง โชเฟอร์เท็กซี่ที่ผมคาดว่าคงจะเปิดประตูเข้ามาลุยกับผมรีบวิ่งเข้าไปช่วย ประคองชายสูงอายุ
ผมยืนมองจนบุรุษพยาบาลวิ่งเข้ามาและนำชายคนนั้น ขึ้นรถเข็นพร้อมทั้งปั้มหัวใจกันพัลวัน ตลอดเวลานั้น ผู้หญิงทั้งสองคนเกาะราวรถเข็นไม่ยอมห่าง ผมได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก คนแก่คนนั้นเขาจะโดนอะไรมาก็เถอะ ถูกยิง ตกตึก หรือรถชน แกคงจะมีโอกาสรอดแน่ๆ ถ้ามาถึงโรงพยาบาลได้เร็วกว่านี้ นี่ถ้าผมไม่แกล้งเขา ลุงแกอาจจะรอด เขาอาจจะมาถึงที่นี่ซักสิบนาทีก่อนหน้านี้ นั่นก็ยังดี ลุงอาจจะรอด ผมคิด ลุงคงจะรอด ทำไม ไม่เปิดกระจกมาบอกกรูซักคำวะ ผมแช่งชักหักกระดูกคนขับแท็กซี่ ในขณะนั้นผมไม่ได้คิดถึงความเลวของตัวเองซักนิด
นาทีนั้นผมสับสน อยากอ้วก ไม่มีแรงจะพยุงตัวเองไว้ได้ ผมเปิดประตูกลับเข้าไปในรถ แว่บนั้นผมเห็นคนขับแท็กซี่เดินเข้ามาหา ช่าง อยากจะทำอะไรกรูก็ทำ กรูไม่มีกะจิตกะใจจะสู้อีกแล้ว ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ผมได้ยินเสียงคนขับแท็กซี่ดังแว่วเข้ามา มันทำให้ผมรู้สึกเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจว่า
" พี่รู้ไหม ลุงแกตายแล้ว เพราะพี่นั่นแหละ"
นั่นเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนที่ผมจะซบหน้าลงกับพวงมาลัยและร้องไห้
---------------------------------------------------------------------
พอดีอ่านเจอโดยบังเอิญ เป็นเรื่องสั้นที่ให้ข้อคิดดีๆนะจ๊ะ :)
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1612144
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก - ว่าน :)
♥♥
-- เนื้อเพลง --
หากสิ่งที่เจอมันจะเพียงแค่บังเอิญ
ก็คงจะเป็นความบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่
ทำให้ได้รู้ทันทีว่ารักเป็นเช่น ไร
ความหวั่นไหวที่ได้พบในวันนี้
เก็บอาการไว้จนในใจห้ามไม่อยู่
ไม่อยากให้รู้มีอะไรซ่อนในใจ
เป็นสิ่งเล็กเล็กในมุมลึกลับในหัวใจ
เก็บเอาไว้เผื่อวันหนึ่งเธอจะรู้
*สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียก มันว่าความรัก
แค่เพียงได้รักเท่านั้นคงไม่ยิ่งใหญ่
แต่โลกของฉันนั้นหมุนไป
ด้วยหัวใจที่ได้รักเธอ เพราะเธอคือ
**สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียก เธอว่าความรัก
เก็บคำว่ารักไม่กล้าพอจะพูดไป
อยากให้เธอรู้ฉันรักเธอสุดหัวใจ
วันพรุ่งนี้เป็นไง หัวใจเป็นของเธอ
สิ่งที่เธอเห็นคงจะดูไม่ยิ่งใหญ่
ไม่ได้มีแรงบันดาลใจมากเพียงพอ
แต่ข้างในนั้นยังมีหัวใจที่เฝ้ารอ
อยากให้เธอมองให้เห็นที่ตรงนี้
* , ** , *
สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียก เธอว่าความรัก
เก็บคำว่ารักไม่กล้าพอจะพูดไป
อยากให้เธอรู้รักใช้เหตุและผลเป็นไง
หัวใจเป็นของเธอ
วันพรุ่งนี้ ขอเรียกเธอว่าความรัก
สักวันฉันจะดีพอ - bodyslam
เพลงนี้ก็ชอบ 555
-- เนื้อเพลง --
อยากดีพอ ให้เธอได้มั่นใจ
แต่ที่พอมี ก็แค่ทั่วๆ ไป
ความจริงคือเธอยังลังเล
ยังไม่เทให้กันหมดหัวใจ
กังวลว่าเธอจะเจอใคร ที่รักเธอเหมือนกัน
ฉันก็เลยแค่ขอให้...เธอ
เธออย่าเพิ่งไปบอกรักใคร
รอฉันได้หรือไม่ วันที่ฉันจะดีพอ
อยากจะขอเวลาหน่อย มันคงไม่นานเกินไป
เธอเป็นคนดี ที่ใครก็ต้องการ
เธอเป็นคนเดียว ที่ใครก็เฝ้าฝัน
ยังไงก็ยังจะจริงจัง ก็ขอทำทุกทางสุดหัวใจ
ทำดีให้เท่าที่คิดไว้ อยากให้เราคู่กัน
ฉันก็เลยแค่ขอให้...เธอ
เธออย่าเพิ่งไปบอกรักใคร
รอฉันได้หรือไม่ วันที่ฉันจะดีพอ
อยากจะขอเวลาได้ไหม
เธอก็แค่อยากให้เรารักกัน
ฉันต้องทำให้ได้ คงมีสักวัน
แค่อย่าเผลอไปมีใคร ยังไงก็รอกันหน่อย
ยังไงก็ยังจะยืนยัน อยากให้เราได้คู่กัน ฉันก็เลยจะขอให้เธอ
(ให้เธอช่วยรอกันหน่อย ให้เธอช่วยรอฉันได้หรือเปล่า)
หยุด - Groove Riders
เพลงเพราะๆจาก groove riders Ost. ปิดเทอมใหญ่ฯ
เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกดี อบอุ่น ไม่เคยเบื่อเลย ><
-- เนื้อเพลง --
ฉันนั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพัง
สุขยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ตั้งแต่ได้พบกับเธอนั้น
เรื่องจริงกับความฝัน เกิดขึ้นด้วยกันทันตา
*ฉันอยากจะหยุดเวลานี้
ตั้งแต่วินาที ที่ชีวิตมีเธอเข้ามา
เธอทำให้คนที่เหนื่อยล้า นั้นกล้าจะเปิดหัวใจ
**หยุด หยุดชีวิต หยุดกับคนนี้
แม้ว่าใครจะดีซักแค่ไหน
หยุด หยุดความรัก ทั้งหัวใจ
จะหยุดอยู่กับเธอคนเดียว
ฉันนั้นรู้ทันที และรักทันที
เธอคือความโชคดีที่เข้ามา
ตั้งแต่ได้พบกับเธอนั้น
ชีวิตเหมือนความฝันที่เกิดขึ้นตอนลืมตา
( ซ้ำ *,** )
(ซ้ำ **,**,**,**)
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทำไม... กระดุมเสื้อชายหญิง ถึงอยู่คนละด้าน
เคยสังเกตกันมั้ยเอ่ย?? :) |
เดิมกระดุมเสื้อของผู้หญิงและของผู้ชายจะติดไว้ทางด้านซ้ายของเสื้อเหมือนกันเพราะคนส่วนใหญ่จะถนัดขวา เพื่อให้มือขวากลัดกระดุมทางด้านซ้ายได้สะดวก
ผู้ชายจึงให้ผู้หญิงย้ายกระดุมมาอยู่ทางขวาเสียเวลากลัดกระดุมก็เอาด้านซ้ายของเสื้อมาทับบนด้านขวาแทน ทีนี้เวลาชักดาบออกดาบก็ไถลผ่านเสื้อไปได้โดยสะดวก
ส่วนเสื้อผู้หญิงนั้นกระดุมอยู่ทางซ้ายเหมาะที่สุดเพราะผู้หญิงสมัยก่อนต้องเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วย โดยแม่จะอุ้มลูกด้วยมือซ้ายเพื่อมือขวาจะได้ทำงานต่างๆ ได้ถนัด ตลอดจนเพื่อความสะดวกในการแกะกระดุมเวลาให้นมลูกอีกด้วย
credit : http://teen.teenee.com/howcome/223.html
ส่วนสาเหตุที่กระดุมเสื้อผู้ชายต้องเปลี่ยนตำแหน่งจากซ้ายมาขวา เพราะสมัยก่อนผู้ชายนิยมห้อยดาบไว้ทางสะโพกซ้าย เวลาเกิดเรื่องราวจะต้องชักดาบโดยเร็ว ปรากฏว่าด้ามดาบมักเข้าไปขัดอยู่ในช่องว่างระหว่างกระดุมเสื้ออยู่บ่อยๆ กว่าจะแกะดาบออกมาได้ก็อาจถูกคู่ต่อสู้ทำร้ายเสียก่อน
ผู้ชายจึงให้ผู้หญิงย้ายกระดุมมาอยู่ทางขวาเสียเวลากลัดกระดุมก็เอาด้านซ้ายของเสื้อมาทับบนด้านขวาแทน ทีนี้เวลาชักดาบออกดาบก็ไถลผ่านเสื้อไปได้โดยสะดวก
ส่วนเสื้อผู้หญิงนั้นกระดุมอยู่ทางซ้ายเหมาะที่สุดเพราะผู้หญิงสมัยก่อนต้องเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วย โดยแม่จะอุ้มลูกด้วยมือซ้ายเพื่อมือขวาจะได้ทำงานต่างๆ ได้ถนัด ตลอดจนเพื่อความสะดวกในการแกะกระดุมเวลาให้นมลูกอีกด้วย
credit : http://teen.teenee.com/howcome/223.html
ปล. อาจจะเป็นแค่บางชุดนะ ไม่แน่ใจ แต่ก็สังเกตเอาจากเสื้อนร.ม.ปลาย 555
18 สูตรหน้าใส
สูตรลบเลือนจุดด่างดำ
สูตร นี้จะทำให้ใบหน้าสวยใสขึ้นเพราะจุดด่างดำจะลบเลือนลงและยังช่วยให้หน้านุ่ม ชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านอีกด้วย โดยนำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะจากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้วจึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ถั่วไปหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากเหมือนเดิมทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรหน้าสวยใส
นำ หัวไชเท้ามาล้างให้สะอาดและปอกเปลือกออก สไลด์บางๆ เป็นแว่นๆ แช่เย็นไว้สักครู่จึงนำมาแปะที่ใบหน้าเหมือนการแปะแตงกวา หัวไชเท้าเย็นๆ จะทำให้ใบหน้าสดชื่นเย็นสบาย จะรู้ว่าผิวกระจ่างใสขึ้นเพราะในหัวไชเท้ามีกรดอ่อนๆ ที่ทำให้ผิวดูดีขึ้นได้ ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สูตรขัดหน้านุ่มเนียน
ให้ คุณตักโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาสัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ลงในชาม ใส่น้ำตาลทรายชนิดหยาบลงไป 1 ช้อนชา คนส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากันแล้วจึงนำมาขัดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าเพื่อเป็นการขจัดเซลล์เก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เว้นรอบดวงตาและรอบปากเอาไว้ เพราะทั้งสองส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่บอบบาง เมื่อขัดสักครู่จนทั่วแล้วก็ให้ทิ้งเอาไว้สัก 5 นาทีก่อนที่จะล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรแก้ปัญหาสิว
สูตร นี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวประเภทหัวสิวเม็ดใหญ่ๆ ซึ่งเมื่อใช้สูตรนี้แล้วสิวที่คุณเป็นจะค่อยๆ ยุบลงได้เองโดยให้คุณใช้ดินสอพองสัก 1 เม็ดใหญ่ผสมกับน้ำมะนาวสัก 1 ช้อนชาแล้วนำมาแต้มบริเวณสิวที่เป็นอยู่ก่อนเข้านอนแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ในตอนเช้าให้หมดจด จะสังเกตได้ว่าหัวสิวยุบลงมากและผิวกระจ่างใสขึ้น
สูตรลับลดความมัน
ผู้ ที่มีผิวหน้ามันสามารถมีผิวหน้าที่นุ่มชุ่มชื้นและไม่มันได้โดยการใช้ สับปะรดประมาณ 1 ถ้วย คั้นน้ำและแยกกากออก ใช้สำลีก้อนชุบน้ำสับปะรดมาทาที่ใบหน้าโดยให้เว้นที่บริเวณรอบดวงตาและรอบ ปาก ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกเลยว่าหน้าไม่มันแต่กลับนุ่มชุ่มชื้น ควรใช้สับปะรดที่มีความเปรี้ยวจะดีกว่าที่มีความหวาน เพราะจะมีประสิทธิภาพในการลดความมันได้มากกว่า
สูตรกระชับรูขุมขน
สูตร นี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือรอยแผลเป้ นจากการแกะสิวทั้งหลาย สูตรนี้จะช่วยสมานผิวและรูขุมขนให้ตึงกระชับขึ้นจนผิวของคุณเนียนนุ่มและดู สวยขึ้นได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานให้คุณใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชาผสมกับแตงกวา 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาพอกให้ทั่วใบ หน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัดๆ หรือน้ำแช่น้ำแข็ง เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะเรียบเนียนขึ้นได้
สูตรแก้ไขหน้าแห้งกร้าน
สูตร นี้จะช่วยทำให้งกร้าน หน้าที่แห้งกร้านกลับนุ่มชุ่มชื้นและยังช่วยลดความมันอีกด้วย โดยนำน้ำอุ่นประมาณ 1 ถ้วยมาผสมให้เข้ากันดีกับเกลือป่น 2 ช้อนชาจากนั้นนำมาใส่ในขวดสเปรย์แล้วฉีดพรมที่ใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรหน้าสะอาดหมดจด
สูตร นี้จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวของคุณออกไปอย่างหมดจด นอกจากผิวจะสะอาดแล้วยังนุ่มนวลและชุ่มชื้นอีกด้วย โดยใช้นมสดสัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับผงชาเขียวป่นที่หาซื้อได้ตามร้านทำขนมมอบทั้งหลาย ผงชาเขียวนี้ใช้เพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อผสมกันดีแล้วก็ให้ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมทั้งสองนี้แล้วนำมาถูให้ทั่วใบ หน้าเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรหน้าใสไร้ฝ้า
สูตร นี้นอกจากจะสามารถลอกฝ้าได้แล้วังมีผลในการช่วยบรรเทาสิวอักเสบและลบเลือน จุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย วิธีการก็ง่ายๆ คือตัดว่านหางจระเข้มาสัก 1 กาบไม่ต้องใหญ่มาก ปอกเปลือกออกให้หมดเอาแต่ส่วนของเนื้อใสมาใช้ นำเนื้อใสหรือวุ้นที่ได้มาปั่นเนียนละเอียดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น มีข้อควรระวังคือหากเป้นผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้เพราะ อาจเกิดการระคายเคืองได้
สูตรผลัดผิวกระจ่างใส
สูตร นี้ทำได้ง่ายอีกเช่นกัน โดยการใช้เพียงมะละกอสุกอย่างเดียว ให้นำมะละกอสุกประมาณ 1/4 ถ้วยมาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะรู้สึกเลยว่าผิวหน้าใสและนุ่มนวลขึ้น
สูตรสวยหน้าตึงกระชับ
นอก จากหน้าจะตึงกระชับแล้วยังทำให้สิวที่เป็นปัญหาทุเลาลงได้ด้วย ให้คุณใช้ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับกำมะถัน 1 ช้อนชา และถั่วเขียวต้มบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วจึงนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีโดยไม่ลืมที่จะเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก เมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรแก้ไขผิวที่ถูกแดดและลมเป็นเวลานานๆ
บาง ทีเราก็หลีกเลี่ยงแดดและลมที่ทำให้ผิวเกิดปัญหาความหยาบกร้านและเ่ยวย่นไม่ ได้ เมื่อเป็นแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะมีวิธีง่ายๆ และดีที่สามารถแก้ปัญหาอย่างได้ผลมาฝาก ให้นำสตรอเบอร์รี่ 2 ผลและแอปเปิล ¼ ผลมาปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แอปเปิล นั้นควรปอกเปลือกออกก่อนเพื่อจะได้มีความนุ่มนวลเวลาที่ใช้ จากนั้นนำส่วนผสมที่ปั่นกันจนละเอียดแล้วมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรมากส์หน้าเพื่อความชุ่มชื้น
สูตร นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและผู้ที่ไม่มีปัญหาอย่างคนผิวธรรมดาก็ สามารถใช้ได้เช่นกัน นำงา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และกล้วยหอมผลขนาดกลางสัก 1 ผลมาผสมและปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้าและทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากเอาไว้ เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
สูตรมาร์คหน้าแก้ไขปัญหาหน้ากร้านแดด
หน้า กร้านแดดที่ว่านี้ก็คือหน้าที่มีอาการแดงแสบและหยาบกร้าน นอกจากนี้ผิวหน้ายังไม่นุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย วิธีการแก้ไขก็คือให้นำอะโวคาโดมาสักประมาณ ¼ ถ้วยผสมรวมกันกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชาและน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ใส่ลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าโดยเว้นรอบปากและดวงตาเอาไว้ ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรสวยของคนผิวแพ้ง่าย
สูตร นี้ถือเป็นสูตรที่มีความอ่อนโยนสูงจึงดีต่อผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ให้คุณนำน้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะและหัวไช้เท้า ½ ถ้วยตวงมาใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นจึงนำไปพอกบริเวณใบหน้าสักประมาณ 20 นาที คุณอาจจะรู้สึกตึงๆ และคันยิบๆ เล็กน้อยเนื่องจากกรดในน้ำมะนาวและสารเคมีในหัวไช้เท้ากำลังทำงานอยู่ซึ่ง ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด เมื่อครบกำหนดตามเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ผิวคุณก็จะสดใสเปร่งปลั่งขึ้นมาทันที
สูตรขัดหน้าสะอาดเอี่ยมอ่อง
เป็น อีกสูตรที่สามารถใช้ขัดหน้าได้ ทั้งสะอาดหมดจดและยังมอบความเนียนนุ่มให้แก่ผิวของคุณในครั้งแรกที่ได้ใช้ อีกด้วย โดยให้คุณนำข้าวโอ๊ดอบแห้ง 1 ช้อนชากับถั่วเขียวเมล็ดแห้ง ½ ช้อนชาผสมกันลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้ละเอียดที่สุดจากนั้นจึงนำมาผสมน้ำ เล็กน้อยแล้วขัดเบาๆ ให้ทั่วผิวหน้าควรเน้นการขัดบริเวณข้างจมูกซึ่งมักเป็นส่วนที่เกิดสิวเสี้ยน หรือความสกปรกได้ง่ายกว่าส่วนอื่น เมื่อขัดจนทั่วทุกพื้นที่บริเวณใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้หมดจดอย่า ให้หลงเหลือ เพราะสูตรนี้หากล้างออกไม่หมดอาจทำให้เกิดสิวอุดตันบนใบหน้าได้
สูตรหน้าใสไร้ความหมองคล้ำ
ผู้ ที่มีปัญหาหน้าหมองมองแล้วไม่สดใสควรใช้สูตรสวยสูตรนี้จะดีขึ้นเป็นอย่าง ยิ่ง โดยนำน้ำมะนาว นมผงของเด็ก และน้ำสะอาดอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมรวมกันให้ดี จากนั้นนำมาพอกที่ใบหน้าประมาณ 20 นาที พยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้าในช่วงนี้นักเพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย
เมื่อ ครบตามกำหนดเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใสขึ้นเนื่องจากการทำงานของกรดใน มะนาวและมีความนุ่มชุ่มชื้นจากนมผงอยู่ด้วย
สูตรสวยหน้าเต่งตึง
สูตร นี้เป็นสูตรที่ใช้อย่างได้ผลกับผู้ที่มีวัยเข้าเลข 3 และมีปัญหาผิวหน้าหย่อนยาน ถือว่าเป็นสูตรที่ทำง่ายไม่ยุ่งยากอะไรเพราะใช้น้ำแข็งเพียงอย่างเดียว อันดับแรกให้คุณทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดเสียก่อนแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าขน หนูนุ่ๆ จากนั้นนำน้ำแข็งยูนิต 1 ก้อนมาลูบไล้บริเวณใบหน้าให้ทั่วจนน้ำแข็งละลายหมดก้อนคุณจึงค่อยล้างหน้า ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัดๆ อีกทีหนึ่ง เมื่อจับผิวหน้าดูแล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าผิวตึงกระชับขึ้นทันที สูตรนี้หากคุณมีความสะดวกก็สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียงหรือ อันตรายใดๆ แก่ผิวหน้า
ปล. ไม่รู้ใช้ได้ผลรึเปล่านะ 555555
Credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1953578
วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
หนึ่งคำสำคัญ
แล้วฉันจะกระซิบบอกกับเธอ ♥ ,, ชอบๆๆ >.<
หนึ่งคำสำคัญ - แหนม รณเดช
รักเธอ ถ้อยคำที่คนเขาพูดกันจัง
ได้ฟังจนชินหู บางทีก็รู้สึกดี
แต่บ่อยบ่อยเลยที่ไม่เคยซึ้ง
ง่ายเกินไป ได้ยินคนบอกว่ารักช่างง่ายดาย
และใจมีคำถามก่อนจะรักใครสักคน
เวลาแค่นั้นมันจะพออะไร
*ถ้าหากว่าช้าหน่อยคิดหน่อย รักคงมีค่าขึ้นมา
ลึกหน่อยซึ้งหน่อย รักจะดูสูงราคา
ขอเก็บไว้ก่อน ไว้ให้มันถึงเวลาที่คู่ควร
แล้วฉันจะกระซิบบอกกับเธอ
รักเธอ บอกกันในวันนั้นไม่ทันไร
ก็ลากันไปแล้ว มีคนมากมายเท่าใด
ที่ไม่ใส่ใจกับถ้อยคำนี้
ขอให้เธอ อย่ามองกันว่าฉันไม่จริงใจ
ที่ไม่เคยบอกรัก แต่หากเมื่อไรได้ฟัง
ก็แปลว่าฉันนั้นแน่ใจจริงจริง
*,*
หนึ่งคำสำคัญ - แหนม รณเดช
รักเธอ ถ้อยคำที่คนเขาพูดกันจัง
ได้ฟังจนชินหู บางทีก็รู้สึกดี
แต่บ่อยบ่อยเลยที่ไม่เคยซึ้ง
ง่ายเกินไป ได้ยินคนบอกว่ารักช่างง่ายดาย
และใจมีคำถามก่อนจะรักใครสักคน
เวลาแค่นั้นมันจะพออะไร
*ถ้าหากว่าช้าหน่อยคิดหน่อย รักคงมีค่าขึ้นมา
ลึกหน่อยซึ้งหน่อย รักจะดูสูงราคา
ขอเก็บไว้ก่อน ไว้ให้มันถึงเวลาที่คู่ควร
แล้วฉันจะกระซิบบอกกับเธอ
รักเธอ บอกกันในวันนั้นไม่ทันไร
ก็ลากันไปแล้ว มีคนมากมายเท่าใด
ที่ไม่ใส่ใจกับถ้อยคำนี้
ขอให้เธอ อย่ามองกันว่าฉันไม่จริงใจ
ที่ไม่เคยบอกรัก แต่หากเมื่อไรได้ฟัง
ก็แปลว่าฉันนั้นแน่ใจจริงจริง
*,*
วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
=10 อันดับ อาหารรถเข็นที่คนไทยโปรดที่สุด=
ปล. อันดับ1โดนใจสุดๆแล้ว !! ><
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)