วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

:: 20 อาหาร เพื่อสมองสดใส ::

20 อาหาร เพื่อสมองสดใส

          เมื่อ เร็ว ๆ นี้เห็นมีข่าวเด็กไทย IQ ต่ำ เพราะว่าขาดไอโอดีน แต่รู้มั้ยว่านอกจากนั้นแล้ว สมองของเรายังต้องการสารอาหารอีกมากมาย เพื่อให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ

 1.บลูเบอร์รี่

          ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ

 2.แซลมอนธรรมชาติ

          กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะคะ
 
 3.ทับทิม

          คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ

กาแฟ

4.กาแฟ

          เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว

          ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง  แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

6.ทูน่า

          นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน


ข้าวกล้อง


 7.ข้าวกล้อง

          ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว

          ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช

          ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต

          ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม

          ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย

ผัก


12.ผักใบเขียว

          ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ

13.มะเขือเทศ

          แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ

14.น้ำมันมะกอก

          อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี

15.น้ำสะอาด

          เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว

16.ผงกะหรี่

          เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ


ไข่


17.ไข่

          มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้
 
 18.โยเกิร์ต

          เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว

 19.ช็อกโกแลต

          ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)


กระเทียม
 20.กระเทียม

          ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย


Did You Know?

           แม้ว่าสมองจะหนักแค่ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ก็ใช้สารอาหารและออกซิเจนถึง 20% ของทั้งหมดในร่างกาย

          การมองอนาคตในแง่ดีก็จะช่วยสมองได้ เนื่องจากเป็นการขับไล่ความเครียดและความวิตกกังวลในแง่หนึ่ง

           สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย การออกกำลังจึงช่วยทำให้สมองแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน


credir : http://health.kapook.com/view18712.html

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

:: 10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร ::

1. งดมื้อเช้า ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกซะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป

2. งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย ไม่ควร  เพราะร่างกายต้องการพลังงาน เพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปัง
 

3. หลังออกกําลังกาย ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้ว และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อน เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น

4. กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์ สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ


5. เชื่อมั่นในฉลาก อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ

6. กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอ กับที่ร่างกายต้องการ สําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมว่ากินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่

7. ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้


8. ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย    การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยโดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วย

9. ไดเอ็ทแบบอดๆ แน่นอนว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

10. กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ






credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1408689

17 ประโยชน์ของกล้วย ;))

 1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วย ในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบ ที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอม ให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้น เลือดฝอย แตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ด้วย การรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมี การตื่นตัวในการเรียนมาก ขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลาย คนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไป ในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้คือทำให้ เรารู้สึกมีความสุข เพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุ ดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะ ทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการ เสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาล ใน เส้นเลือดให้คงที่เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบ อย่าง มหัศจรรย์ เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้โรคน้ำหนักเกินและ โรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุ นำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆในจำนวนคนไข้5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆนักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความ กดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึง ต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคารโบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่ง ประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง โรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้
อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ัรับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้
เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุรี่กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามิน
ซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว
อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกิน
กล้วยเป็นประจำสามารถล ดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบน หูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูด ให้หายได้

credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1498975

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

[How To] เย็บน้องหมี ^^"

**อุปกรณ์**

1. ผ้าอย่างน้อยต้องมี 2 สี เอาไว้เย็บส่วนตัวหลักๆ กับเย็บเป็นฝ่ามือ กับฝ่าเท้า อยากได้น้องหมีตัวสีอะไรก็เลือกสีผ้ามาเลย ตรงนี้เอาเป็นผ้าอะไรก็ได้ แต่อย่าเอาผ้าเนื้อหนามาเพราะจะเย็บยาก ^^

2.เข็ม มี 2 ขนาด ขนาดปกติที่เราใช้เย็บทั่วๆไป ใช้เบอร์ 8 กับ เข็มที่มีความยาวหน่อย ใช้เบอร์ 2 3/4" เพราะเราต้องใช้เย็บติดแขนขา ซึ่งถ้าเข็มไม่ยาวนี่จะเย็บลำบากทีเดียว

3.ด้ายที่เข้ากับสีผ้าที่ใช้เย็บน้องหมี

4.เส้นไหมสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม เอาไว้เย็บปากหมี (ที่เค้าใช้ปักครอสติชอ่ะจ้ะ)

5.กระดุม 4 อัน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.3 ซม. ใหญ่มากไม่สวยเพราะน้องหมีเราตัวไม่ใหญ่ (ซื้อที่สำเพ็งมีเยอะเลยห่อละ 10 บาท)

6.ลูกปัดสีดำที่ใช้เย็บเป็นลูกตา 2 เม็ด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.5 ซม.

7 ดินสอเขียนผ้า ชอล์กเขียนผ้า ดินสอ เมจิกเขียนผ้า เอามาใช้วาดแบบลงผ้า

8.กรรไกรตัดผ้า

9.ใยสังเคราะห์

10.เข็มหมุด

11.โบว์ หรืออุปกรณ์ที่อยากนำมาตกแต่งตัวหมี เช่น ลูกปัด ดอกไม้ปลอม ลูกไม้ ฯลฯ



**ตัดผ้าตามแพทเทิร์น**

1. ตัดแบบแพทเทิร์น และวาดแบบที่ตัดเรียบร้อยแล้วทาบบนด้านในของผ้า กรณีที่เป็นผ้าขนสัตว์วางแบบให้ทิศทางของขนสัตว์บนผ้าอยู่ในแนวเดียวกับลูก ศรบนแพทเทิร์น ใช้ดินสอเขียนผ้าวาดแบบบนผ้าให้เท่ากับขนาดแบบจริง

2. ตัดผ้าตามแนวผ้าที่วาดไว้ โดยให้มีขนาดใหญ่กว่าแบบประมาณ 0.5 ซ.ม. โดยรอบ แล้วทำเครื่องหมายตรงส่วนที่เว้นไว้ใส่ใยสังเคราะห์ 

 

วิธีทำ
1. เตรียมผ้าก่อนเย็บ ...
จับคู่ชิ้นส่วน ต่างๆ โดยการนำผ้าที่ตัดตามแพทเทิร์นมาวางประกบกัน (ให้ด้านที่ไม่มีการวาดแบบหันเข้าหากัน) ตรึงผ้าด้วยเข็มหมุด หรือใช้วิธีการเนาผ้าก็ได้...เกตุยกรูปตัวอย่างส่วนแขนด้านในให้ดู......ตรง นี้จะทำให้เวลาเราเย็บผ้าไม่เคลื่อนไปมา เย็บได้ง่ายขึ้น... 


2. เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ...
เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ให้ติดกันด้วยวิธีการเย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) โดยเว้นบางส่วนไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลืองจะถูกเว้นไว้) ตรงนี้ตุ๊กตาแต่ละแบบจะถูกเว้นส่วนนี้ไม่เหมือนกัน ยังไงลองดูที่แพทเทิร์นนะ

2.1 ส่วนลำตัว ... เย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) เว้นตรงช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
2.2 ส่วนหู ...  เย็บแบบด้นถอยหลัง (ในภาพตรงส่วนสีฟ้า) เว้นตรงช่องตรงส่วนของฐานหู (ส่วนสีเหลือง) 



2.3 ส่วนแขน ... นำชิ้นส่วนแขนด้านใน และฝ่ามือมาเย็บติดกันก่อน โดยเย็บจาก A ไป B (ส่วนสีฟ้า) ทำทั้ง 2 ชิ้น
จากนั้นนำชิ้นส่วนที่เย็บเสร็จเมื่อครู่มาประกบกับส่วนแขนด้านนอก แล้วเย็บโดยรอบ เว้นตรงช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)

 

2.4 ส่วนขา ... พับผ้าตามแนวตั้ง แล้วเย็บจาก C ไป D และ E ไป F (ส่วนสีฟ้า) และเว้นช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)
จากนั้นนำฝ่าเท้ามาเย็บติดกับขาจาก F ไป G และกลับมาที่ F เป็นลักษณะวงรีโดยรอบ (ส่วนสีฟ้า)

**ส่วนนี้แนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด  


2.5 ส่วนหัว... ประกบส่วนหัวด้านข้างเข้าด้วยกัน แล้วเย็บจาก A ไป B (ส่วนสีฟ้า) จากนั้นนำส่วนต่อของจมูกมาประกบกับส่วนหัวด้านข้างที่เย็บติดกันเรียบร้อย แล้ว ซึ่งส่วนต่อของจมูกจะอยู่ด้านบน โดยทาบจากจุดกึ่งกลางของจมูกตรงส่วนต่อของจมูกให้ตรงกับรอยตะเข็บที่เป็น ส่วนจมูกของส่วนหัว เย็บจากจุด A ไป C และ D โดยเย็บทั้ง 2 ข้าง และเว้นช่องไว้สำหรับใส่ใยสังเคราะห์ (ส่วนสีเหลือง)

**ส่วนนี้ต่อของจมูกแนะนำว่าใช้วีธีการเนาผ้าไว้ก่อนเย็บจะง่ายกว่า การตรึงด้วยเข็มหมุด 


3. กลับผ้า...
นำชิ้นส่วนที่เย็บเสร็จทั้งหมด กลับเอาผ้าด้านนอกออก 


4. ใส่ใยสังเคราะห์ และเย็บปิด...

4.1 ส่วนแขน ขา ลำตัว ... ใส่ใยสังเคราะห์ตรงส่วนที่เว้นช่องไว้ แล้วเย็บปิดด้วยเทคนิคการเย็บแบบขั้นบันได


4.2 ส่วนหู ... เย็บปิดด้วยเทคนิคขั้นบันได...ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าจะใส่หรือไม่ใส่ใยสังเคราะห์ก็ได้

4.3 ส่วนหัว ... ใส่ใยสังเคราะห์ลงไปจนเต็ม เย็บปิดด้วยวิธีการเนาโดยรอบส่วนฐานของหัว (ร้อยด้ายเส้นคู่) จากนั้นดึงด้ายตรงจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้ายเข้าหากันเพื่อรูดเก็บ แล้วผูกปลายด้ายทั้ง 2 เข้าด้วยกัน (ผูกปม 2 ครั้ง)  


 5. เย็บประกอบตุ๊กตา...

5.1 เย็บติดลูกตา ... ใช้เข็มหมุดปักกำหนดตำแหน่งของลูกตาไว้ก่อน จากนั้นแทงเข็มจากคอไปยังบริเวณตาของตุ๊กตา แทงเข็มทะลุลูกปัดสีดำ และแทงเข็มกลับไปยังบริเวณคออีกครั้งเพื่อให้ลูกตาถูกกดลึกลงไป ทำซ้ำประมาณ 3 รอบ เพื่อยึดตาให้แน่น ทำทั้ง 2 ข้าง (ร้อยด้ายเส้นคู่เพื่อความแข็งแรง)  

     
5.2 เย็บติดหู ... ใช้เข็มหมุดปักตรึงส่วนหูกับหัวตุ๊กตาก่อนกันเคลื่อน แล้วเย็บติดด้วยการเย็บแบบขั้นบันได จากด้านหน้าอ้อมไปด้านหลังจนมาบรรจบกัน 


5.3 เย็บจมูกและปาก ... กำหนดตำแหน่งของจมูก (ใช้เส้นไหมในการเย็บ กรณีเป็นด้ายให้ร้อยด้ายประมาณ 4 เส้น) โดยเย็บเป็นโครงลักษณะสามเหลี่ยม จากนั้นเย็บเป็นเส้นแนวตั้ง จนปิดไม่เห็นเนื้อผ้า


แล้วเย็บเป็นเส้นแนวตั้งจากส่วนปลายจมูกลงมา แล้วเย็บปากซึ่งตรงนี้เราสามารถเย็บได้หลายแบบ เพื่อบ่งบอกอารมณ์ของตุ๊กตาหมี 

5.4 ต่อส่วนหัวกับลำตัว ... ใช้เข็มหมุดตรึงส่วนหัวกับลำตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นเย็บติดด้วยเทคนิคการเย็บแบบขั้นบันไดโดยรอบ จนหัวติดกับลำตัวแน่น


5.5 การต่อส่วนแขน และขา ... ใช้เข็มเล่มยาว ร้อยด้ายเส้นคู่แทงผ่านส่วนลำตัว แขน และกระดุมบนแขนด้านหนึ่ง จากนั้นแทงกลับลงไปผ่านแขน และลำตัว และแขนอีกข้างหนึ่ง แทงผ่านกระดุม และแทงกลับมา ทำซ้ำประมาณ 3-4  รอบ มัดปมให้แน่น

ส่วนขาก็ทำเหมือนกัน ... ดูรูปลายเส้นน้องหมีทางขวามือประกอบจะเข้าใจง่ายขึ้น


ส่วนขา...เท่านี้เป็นอันเสร็จล่ะ

 

 credit : http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2006/10/J4769680/J4769680.html

 สุโค่ยมาก ทำไม่เป็น+แอบงง แต่จะลองดู >___<




























วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 อันดับยาสีฟันแปลก ;)



อันดับที่ 10 ยาสีฟันไอศครีม
ยา สีฟันนี้จะทำให้คุณมีลมหายใจเป็นกลิ่มไอศกรีมเสมือนคุณกินไอติมอยู่ตลอด เวลา คิดค้นโดยทันตแพทย์ชื่อ Janelle Holden ซึ่งออกแบบมาเพื่อเด็กๆโดยเฉพาะ ตอนนี้ออกมาให้ลองกันแล้ว 3 รสชาติ Banilla Bling, Ch Cha Chocolate และ Blingsicle รสชาติจะเหมือนไอติมรสส้มกับวานิลา



อันดับที่ 9 ยาสีฟันดำของเกาหลี
เดา กันได้ไม่ยากว่ายาสีฟันอันนี้ทำมาจากถ่าน โดยดึงเอาคุณสมบัติเด่นของถ่านซึ่งดีในเรื่องดูดกลิ่นและทำความสะอาดพื้นผิว แต่อย่าลืมแปลงลิ้นหลังแปรงฟันด้วยหละไม่งั้นลิ้นดำแน่ๆ!


อันดับที่ 8 ยาสีฟันรสแชมเปญ
ยาสีฟันสำหรับคนขี้เมานี้ราคาหลอดละ 300 บาท หาซื้อได้ไม่ง่ายแต่ถ้าอยากมากคงหากันได้ไม่ยาก อิอิ




อันดับที่ 7 Email diamante rougue tootpaste จากฝรั่งเศส
แปลก ขึ้นเรื่อยๆกับอันดับ 7 มาไกลจากฝรั่งเศสซึ่งวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1893 ซึ่งคุณสมบัติเด่นของมันคือทำให้ฟันขาวขึ้นทันที!!! สีของยาสีฟันแดงเหมือนเลือดนก รสชาติก็เข้มข้นไปด้วยสมุนไพรต่างๆ มันสามารถทำให้ฟันขาวทันทีหลังแปรงเพราะส่วนประกอบหนึ่งในยาสีฟันนี้ เมื่อเกาะอยู่ที่ฟันจะทำให้มันเกิดเป็นประกายจึงทำให้ฟันดูขาวขึ้นทันที แต่ส่วนอื่นในปากคุณจะแดงหมดรวมไปถึงแปรงสีฟันของคุณด้วย ตอนคุณบ้วนปากเหมือนเพิ่งโดนใครเตะปากจนเลือดกรกยังไงยังงั้นเลย อิอิ


อันดับที่ 6 ยาสีฟันดำตราลิง
ลอง หลับตาแล้วนึกถึง ถ่านดำๆนะ แล้วเอามันมาบดจนเป็นผง หยุดตรงนี้ก่อนแล้วตอนนี้ให้นึกถึง Vicks vapor rub หรือยาหม่องก็ได้ แล้วเอาทั้ง 2 อย่างมาผสมกันในปาก!... คิดแล้วมันเหมือนจะไม่เข้ากันแต่ยาสีฟันนี้ทำหน้าที่มันได้อย่างดีเยี่ยม มากๆ ความรู้สึกจะเหมือนแปรงฟันด้วยกระดาษทรายเลย ข้อ เสียคือ อ่างล้างหน้าคุณจะมีคราบสีดำติดซึ่งล้างออกยากมากๆ ข้อแนะนำคือ ทำความสะอาดพื้นที่ที่โดนยาสีฟันนี้ทันที อย่าทิ้งไว้จนมันแห้งหละ!


 อันดับที่ 5 ยาสีฟัน 2 หัว
คุณ เคยมั้ยที่ต้องใช้ยาสีฟันร่วมกับคนอื่นๆในบ้านแล้วชอบบีบกลางหลอด!!! พอคุณมาแปรงต่อก็ต้องคอยบีบๆๆให้มามารวมกลุ่มกัน.... หมดปัญหาไปได้เลยถ้าคุณมีหลอดนี้เพราะบีบยังไงสุดท้ายก็จะใช้หมดหลอดได้ อย่างประหยัดจริงๆ




อันดับที่ 4 ยาสีฟันรสวิสสกี้
อีกหนึ่งยาสีฟันสำหรับคนขี้เมาที่ไม่อยากจะทิ้งรสชาติปาร์ตี้ของเมื่อคืน เมากันได้ทั้งวันไปเลย!



อันดับที่ 3 ยาสีฟันรสเบคอน
แปลก อีกขั้นกับยาสีฟันรสเบคอน!... คนที่ลดความอ้วนอยู่น่าจะชอบเพราะตอนนี้คุณสามารถมีเบคอนในปากได้ตลอดเวลา ลองคิดดูว่าจะประหยัดไปได้มากขนาดไหนถ้าไป Burger King สั่ง Whooper ไม่เอาเบคอนแล้วใส่ยาสีฟันนี่ไปแทน อร่อยและไม่อ้วน!


อันดับที่ 2 ใกล้ชิดรสช็อคโกแลต
ปี 2005 ยูนิรีเวอร์ตัดสินใจวางขายยาสีฟันนี้ที่ ฟิลิปปินส์ โดยที่ออกมาเป็น limited edition ดูๆไปก็ไม่แปลกอะไรกับยาสีฟันรสช็อคโกแลต แต่จากการวิจัยของ Arman Sadeghpour จากมหาวิทยาลัยตูเลน เค้าพบว่าผงโกโก้ช่วยปกป้องฟันได้และยังดีกว่าฟลูโอไลด์ซะอีก!! .... ใครมีคนรู้จักเป็นหมอฟันฝากถามหน่อยว่าจริงรึเปล่า!?


อันดับที่ 1 ดอกบัวคู่
ดอก บัวคู่ (ฝรั่งเรียกว่า Nastiest Toothpaste "ยาสีฟันที่น่าขยะแขยงที่สุด") ถึงฝรั่งจะว่ายังไงก็ตาม แต่ผมใช้ครับผมว่าสมุนไพรไทย ดีที่สุดครับ ใช้แล้วสดชื่นมากๆ


credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1974691
ปล. ดอกบัวคู่มันแปลกขนาดนั้นเลย??

:: มื้อเช้า 7 แบบ 7 ประเทศ ::

 อาหาร มื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพื่อช่วยให้สมองและร่างกายมีพลังงานแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ไปช่วยบำรุงร่างกายที่ดำเนินชีวิตทำกิจกรรมในแต่ละวัน อาหารเช้าของคนไทยส่วนมากจะทานข้าวเป็นหลัก หรือถ้าทานไม่ทันก็จะทานขนมปัง แซนวิช หรือนมเป็นต้น แต่บางประเทศในทุกๆวัน มื้อเช้าจะต้องเป็นเมนูนี้เป็นหลัก มาดูกันว่าเมนูที่เป็นมื้อเช้าของประเทศนั้นๆ คืออะไร น่าทานแค่ไหน ^^



ฝรั่งเศส
: อาหารเช้าในฝรั่งเศสจะมีกาแฟ อย่าแปลกใจหากคุณทานอาหารในปารีสและพบว่ากาแฟของคุณอยู่ในชามแทนที่จะเป็น แก้ว เพื่อที่ได้ง่ายต่อการนำขนมปังช็อคโกแลตหรือครัวซองท์จิ้มลงไปถือเป็นการทาน แบบดั้งเดิมสำหรับวันหยุด หากเป็นในช่วงกลางอาทิตย์ก็จะเป็นขนมปังกับแยม น้ำผึ้งหรือเนย ลองเริ่มต้นวันใหม่แบบฝรั่งเศสดูซิ


 

เม็กซิโก
: สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)


   
 
จาไมกา
: ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน


    
  
เวลส์
: เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้


 
   
ญี่ปุ่น
: ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว


 

เนเธอแลนด์
: ขนมปังธัญพืชและขนมปังกรอบที่เรียกว่า beschui เป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับตัวอย่างอาหารเช้าของชาวดัตช์สำหรับเวลาเร่งรีบ คนในฮอลแลนด์จะเตรียมเนื้อสไลด์ ชีสก้อนใหญ่ กาแฟเข้มๆ และของที่ใช้ทาหรือราดตั้งแต่ Nutella (ครีมถั่วฮาเซลนัทผสมโกโก้) ไปจนถึงน้ำผึ้ง ถ้าต้องการอะไรที่เป็นแบบฉบับบจริงๆ มองหาขวดที่มีชื่อว่า hagelslag เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช็อคโกแลตที่ใช้โรยหน้า (เหมือนที่โรยในไอศกรีมในอเมริกาแต่นุ่มนวลและให้รสมากกว่า) ที่ละเลงลงบน beschuit เป็นองค์ประกอบที่ให้ความหวานกับชาหรือกาแฟ Hagelslag จะใส่ลงในนมช็อคโกแลตหรือดาร์คช็อคโกแลต


     

จีน
: อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จนถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง

credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1977541#ixzz154YYRQVm